วันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2554

กลไกการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลก

การเชื่อมโยงของโลกยุปัจจุบัน เป็นไปอย่างแน่นเหนียว อย่างยากที่ประเทศใดจะอิสระตนเองได้ หากการเชื่อมโยงนี้เป็นสัมมาปฏิปทา โลกก็จะเจริญรุ่งเรือง สงบร่มเย็น แต่หากเป็นไปในทางอวิชชา ก็จะเดือดร้อน ทุกข์เข็ญกันทั่วโลก ผู้เขียนเห็นด้วยอย่างหลัง แต่เชื่อว่าไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็นมิจฉาปฏิปทา แต่เป็นไปด้วยความไม่รู้มากกว่า(อวิชชา) ปี 2011 มีการชุมนุมเดินขบวน จลาจลในหลายประเทศ ทั้งที่ยุโรป แอฟริกา และตะวันออกกลาง อย่างที่ประเทศอิสราเอลคนชุมนุม 2 แสนคน บอกเหตุผลของการมาชุมนุมว่า ค่าครองชีพสูง ข้อมูลที่ผู้เขียนนำเสนอต่อไปนี้ ที่ประกอบด้วยข้อมูลของประเทศต่างๆ ของประเทศสหรัฐอเมริกา ของโลก รวมทั้งของประเทศไทยแสดงถึงความเสียหายทางเศรษฐกิจ และค่าครองชีพที่สูงขึ้น


ค่าเงินบาทย้อนหลัง 30 ปี 1981–2011 (2524-2554)

การเปลี่ยนแปลงของค่าเงินบาทตามปกติ และผิดปกติ เกิดจากทั้งปัจจัยภายในประเทศและปัจจัยนอกประเทศ หลังปี 2524 ทำให้เราต้องลดค่าเงินบาทหลายครั้ง และกลางปี 2540 หนักกว่าเดิม เราต้องลอยค่าเงินบาท ทำให้เงินบาทอยู่ในฐานะลอยค่ามาจนถึงทุกวันนี้ เรื่องลดค่าเงินและลอยค่าเงินบาท ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปตามภาวะปกติ แต่เพราะความไม่เข้าใจ ต้องพ่ายแพ้และให้ยอมจำนนต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ทุกวันนี้เรายังไม่รู้ว่า ต้นเหตุอะไรทำให้ค่าเงินบาทเสียหาย สภาพคล่องเสียหาย กระทั่งต้องลดและลอยค่าเงินบาท ทำให้เอกชนและประชาชนเดือดร้อน ได้รับความเสียหายทั้งประเทศ

ต้องเข้าควบกิจการไฟแนนซ์และเครดิตฟองซิเอร์ 25 แห่ง ที่รู้จักในชื่อโครงการ 4 เมษายน 2527 และเข้าไอเอ็มเอฟเป็นครั้งแรก ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยในเวลาต่อมา หนักกว่าเดิม ทุนสำรองลดลงอย่างมาก สภาพคล่องเสียหายหนัก ทำให้ต้องลอยค่าเงินบาทเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 ทำให้ต้องปิดกิจการถาวรบริษัทเงินทุนและเงินทุนหลักทรัพย์และธนาคาร 56 แห่ง ในโครงการ 14 สิงหาคม 2541 ก่อให้เกิดหนี้แก่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน 1.392 ล้านล้านบาท โดยความเสียหายนี้ไม่รวมความเสียหาย จากธนาคารขนาดใหญ่อีก 3 แห่ง คือธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ เราต้องเข้าโครงการไอเอ็มเอฟเป็นครั้งที่ 2

ผู้บริหารระดับสูงสำนักบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลังให้สัมภาษณ์ว่าไฟแนนซ์และธนาคารพาณิชย์ล้มลงประมาณ 80 แห่ง

เป็นเรื่องที่ทารุณสำหรับประเทศมาก ธนาคารพาณิชย์ที่ไม่ถูกปิดกิจการ ที่เหลือ อยู่ก็ไม่ใช่ของคนท้องถิ่นแล้ว แต่ตกเป็นของต่างชาติหรือเป็นของกองทุนหลายสัญชาติ (ดูข้อมูลท้ายบทความนี้)

1978 (2521) SET Index ตกครั้งแรก ค่าเงินบาทตกครั้งแรก

แผนภูมิซ้าย ไทยเปิดตลาดหุ้นในปี 1975 ตลาดได้ใช้เวลาในการไต่ระดับขึ้นมา 3 ปี จากนั้นก็ตกลง และตกลงรุนแรงระหว่างปี 1978-1982

แผนถูมิขวา มีการลดค่าเงินบาทหลายครั้งตั้งแต่ปี 1981 แล้วมีความพยายามยืนค่าเงินบาท (fixed) ระหว่างกลางปี 1981 ถึงปลายปี 1984 แต่แล้วก็ไม่สามารถยืนค่าเงินบาทไว้ได้ ต้องลดค่าเงินบาทครั้งใหญ่ในปลายปี 1984

เกิดโครงการ 4 เมษายน 2527 โดยทางการการเข้าควบกิจการไฟแนนซ์และเครดิตฟองซิเอร์ 25 แห่ง และเข้ารับความช่วยเหลือจากไอเอ็มเอฟเป็นครั้งแรก ใช้วงเงินไอเอ็มเอฟ 982 ล้านเหรียญสหรัฐ

แสดงว่าการตกลงของตลาดหุ้น เป็นต้นเหตุความเสียหายของค่าเงิน จนต้องลดค่าเงิน

1994 (2537) SET Index พังทลายครั้งที่ 2 ค่าเงินบาทพังทลายครั้งที่ 2

ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย แต่หนักกว่าเดิม เป็นผลมาจากไม่ตระหนักแต่แรกว่า ต้นเหตุวิกฤตเศรษฐกิจครั้งก่อนหน้าคืออะไร ปรัชญาการตั้งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ไม่ตรงประเด็นของการป้องกันปัญหาและแก้ไขปัญหา เป็นการคิดแก้ปัญหาปลายเหตุ รวมทั้งมีการนำระบบ Maintenance margin และ Force sell มาใช้ในตลาดหุ้น จึงกลายเป็น 2 แรงแข็งขัน ทำให้เกิดความเสียหายต่อตลาดทุน ตลาดเงิน อย่างเหลือเชื่อ

แผนภูมิซ้าย ระหว่างปี 1994 – 1998 ดัชนีตลาดหุ้นตก 88 เปอร์เซ็นต์ 

แผนภูมิขวา มีการปกป้องค่าเงินบาท แต่ก็สู้ไม่ไหว ต้องลอยค่าเงินบาทในที่สุด จึงเห็นว่าค่าเงินบาทเสียหายจริง ค่าเงินบาทตกแรง 55 เปอร์เซ็นต์

เกิดโครงการ 14 สิงหาคม 2541 ทางการการสั่งปิด 56 สถาบันการเงิน ก่อให้เกิดหนี้ไว้กับกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน 1.392 ล้านล้านบาท

ต้องเข้าโครงการไอเอ็มเอฟเป็นครั้งที่ 2 ใช้วงเงินไอเอ็มเอฟ 12,296 ล้านเหรียญสหรัฐ

ยืนยัน การพังทลายของตลาดหุ้น เป็นต้นเหตุความเสียหายของค่าเงิน จนต้องลอยค่าเงิน

2000 (2543) ประเทศอเมริกา Nasdaq Index พังทลาย ค่าเงิน เหรียญสหรัฐพังทลาย

การปรับปรุงตัวหุ้นในการคำนวณดัชนีแนสแดกซ์ในปี1999 (Index reformed) ทำให้ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของดัชนี (Standard deviation) สูงขึ้นมาก ทำให้ดัชนีอ่อนแอสูง จึงถูกปั่นได้ หรือถูกโจมตีได้ง่าย ดัชนีถูกลากขึ้นไปสูงในต้นปี 2000 แล้วก็ทุบให้พังทลายลงอย่างรุนแรง และลงไปต่ำสุดในปี 2002
แผนภูมิซ้าย ระหว่างปี 2000-2002 ดัชนีตลาดหุ้นตกลง 78 เปอร์เซ็นต์

2 แผนภูมิขวา ค่าเงินเหรียญสหรัฐเสียหาย เมื่อเทียบกับเงินยูโร (EUR) และเงินเยน (YEN)
ค่าเงินเหรียญสหรัฐเสียหายเมื่อเทียบกับเงินเกือบทุกสกุล ไม่ว่าเงินปอนด์ของอังกฤษ เงินสิงคโปร์ดอลลาร์ ฯลฯ รวมทั้ง เงินบาทของไทย การพังทลายของตลาดหุ้น จะเกิดที่ประเทศใดก็ตาม จะทำให้ค่าเงินของประเทศนั้นเสียหาย ทำให้สภาพคล่องมีปัญหา และเกิดหนี้เสีย 4-5 ปีที่ผ่านมา ประเทศสหรัฐอเมริกาต้องเพิ่มเพดานนี้ทุกปี ทั้งสภาสูงและสภาล่างต้องอนุมัติกฎหมายเพิ่มเพดานหนี้ถึงปี 2012 สูงเป็นประวัติการณ์กว่า 16 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ

เงินเหรียญสหรัฐเป็นสกุลเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก ถือว่าเป็นสกุลเงินของโลก การพังทลายของเงินเหรียญสหรัฐ ทำให้เงินเฟ้อหรือค่าครองชีพโลกเพิ่มขึ้นรุนแรง นำความเสียหาย นำความเดือดร้อนมาสู่ชาวโลกอย่างทารุณ ดูข้อมูล ความรู้ ความเข้าใจในช่วงถัดไปของบทความนี้

ยืนยัน การพังทลายลงของตลาดแนสแดกซ์ เป็นต้นเหตุของการพังทลายของค่าเงินเหรียญสหรัฐ

ทำไมดัชนีแนสแดกซ์จึงอ่อนแอ !!!!!

ตลาดหุ้นสหรัฐมี 2 ตลาด คือตลาดนิวยอร์ค(New York stock exchange/NYSE) มีขนาดใหญ่กว่า(2/3) และตลาดแนสแดกซ์(NASDAQ)มีขนาดเล็กกว่า(1/3) เมื่อมีการลากตลาดขึ้นมา ตลาดแนสแดกซ์ก็จะมีขนาดใหญ่หรือใกล้เคียงตลาดนิวยอร์คได้

DJIA เป็นดัชนีราคา (Price weighted index) ใช้หุ้น Blue chips 30 ตัวมาคำนวณสร้างเป็นดัชนี ซึ่งหุ้นที่ใช้ในการคำนวณดัชนีเป็นหุ้นที่อยู่ในทั้งตลาดนิวยอร์คและตลาดแนสแดกซ์ เป็นดัชนีที่มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานต่ำ มีความแข็งแกร่ง ถูกปั่นได้ยาก

NASDAQ Index เป็นดัชนีมูลค่าตลาด (Market capitalization weighted index) เป็นหุ้นในกลุ่มสินค้า High technology ใช้หุ้นมากกว่า 5,000 ตัว มาคำนวณสร้างเป็นดัชนี ช่วงแรกมีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานต่ำ แต่เมื่อมีการนำหุ้นที่มีมูลค่าตลาดสูงเข้าไปคำนวณสร้างทำเป็นดัชนีเมื่อปี 1999 (Index reformed) ทำให้ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของดัชนีสูงขึ้น ทำให้ดัชนีอ่อนแอลง ทำให้ถูกควบคุมหรือถูกปั่นได้ง่าย
เปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงของ NASDAQ Index กับ DJIA Index

เปรียบเทียบช่วงเวลาเดียวกัน 1998-2002 โดยปรับฐานดัชนีวันที่ 2 มกราคม 1998=100 เท่ากัน เพื่อให้สามารถเห็นความแตกต่างด้วยภาพได้ง่าย จะเห็นว่า NASDAQ ขึ้นและลงแรงกว่า DJIA ตลาด NASDAQ ถูกลากขึ้นไปสูงสุดที่ไตรมาสแรกของปี 2000 จากนั้นก็ถล่มทุบลงมา

ตลาดแนสแดกซ์พังทลาย ค่าเงินเหรียญสหรัฐพังทลาย ที่เป็นผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เช่นราคาทองคำ ราคาน้ำมัน สูงขึ้น หรือเงินเฟ้อโลกสูงขึ้น หรือค่าครองชีพโลกสูงขึ้น  ความเดือดร้อน ทุกข์เข็ญลำเค็ญก็เกิดกับชาวโลกตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

ปี 2000 ปีจุดเริ่มต้นวิกฤตเศรษฐกิจโลก


2007-2008 (2550-2551) ประเทศเวียดนาม ตลาดหุ้นโฮจิมินห์ตก เงินดองตก

ตลาดหุ้นเวียดนามได้รับผลดี จากการพังทลายของตลาดหุ้นแนสแดกซ์และค่าเงินเหรียญสหรัฐ เป็นตลาดเปิดใหม่ ถูกลากขึ้นอย่างรวดเร็วแค่ช่วงระยะเวลา 2 ปี จากต้นปี 2005 ถึงต้นปี 2007 แล้วแกว่งตัวขึ้นลงทั้งปีตลอดปี 2007 ก่อนที่จะถล่มลงตามโลกในปี 2008 ที่รู้จักกันในชื่อ Hamburger Crisis 
การพังทลายของตลาดโฮจิมินห์ เวียดนามในปี 2008 เป็นอีกตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า ตลาดหุ้นเวียดนามตก ทำให้ค่าเงินตกเช่นกัน เงินดองของเวียดนามเริ่มตกในปี 2008

ถึงทุกวันนี้ ปี 2011 ค่าเงินดองก็ยังตกลงต่อเนื่อง ไม่ดีขึ้น ไม่ทราบว่าจะต้องเข้าไอเอ็มเอฟเหมือนที่ประเทศไทยเปิดตลาดหุ้น 3-4 ปีแรกหรือไม่

ยืนยัน การตกลงของตลาดหุ้นเวียดนาม เป็นต้นเหตุให้ค่าเงินดองเสียหาย

ตัวอย่างการพังทลายตลาดหุ้นเวียดนาม ที่ส่งผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ย

ข้อมูลประจำเดือน เมษายน 2554 (2011)

อัตราเงินเฟ้อเวียดนาม 13.89% แสดงถึงภาวะอ่อนค่าของเงินดอง

อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงของเวียดนามอยู่ที่ระดับ 9.00% แสดงว่าสภาพคล่องมีปัญหา

ตัวอย่างตลาดหุ้นเปิดใหม่

ไม่มีตลาดใดไม่ถูกปั่น ล้วนถูกปั่นทั้งนั้น ตลาดหุ้นเปิดใหม่ส่วนใหญ่จะเสียตัวแต่แรก ยกตัวอย่างเช่นการเปิดตลาดหุ้นไทยในปี 1975(2518) ตลาดหุ้นไซปรัส 2010 ตลาดหุ้นลาว 2011

ตลาดหุ้นเวียดนาม ที่นำเสนอในช่วงต้น ก็เป็นตลาดเปิดใหม่ ความเสียหายของตลาดหุ้นเวียดนาม เป็นต้นเหตุให้ค่าเงินดองเสียหาย

ตลาดหุ้นไทย เปิดตัวครั้งแรกในปี 1975 (2518) ตลาดถูกลากขึ้นในช่วงแรก แล้วเริ่มถล่มทุบลงในปี 2521 ทำให้ตลาดหุ้นตกแรงในปีต่อมา ทำให้ต้องลดค่าเงินบาท ทำให้สภาพคล่องของระบบเสียหาย ทำให้เกิดโครงการ 4 เมษายน 2527 ทำให้ต้องเข้าขอความช่วยเหลือไอเอ็มเอฟเป็นครั้งแรก

ตลาดหุ้นไซปรัส เปิดตัวในปี 2010 ตลาดหุ้นตกไปแล้ว 63 เปอร์เซ็นต์ และยังคงตกต่ออย่างต่อเนื่อง ตลาดหุ้นลาว เปิดตัวในปี 2011 ตลาดหุ้นตกไปแล้ว 49 เปอร์เซ็นต์ ตกต่ำกว่า 1,000 จุดแล้ว และยังคงตกต่ออย่างต่อเนื่อง

ระหว่างปี 2000-2011 มีตลาดเกิดใหม่หลายประเทศ หลังตลาดหุ้นประเทศต่างๆขึ้นไปสูงสุดปลายปี 2007 ถูกถล่มทุบลงมา เกิดการพังทลายรุนแรงในปี 2008 ที่เรียกกันว่า Hamburger Crisis ทั้งตลาดหุ้นเปิดเก่า-เปิดใหม่ต้องเข้าโครงการ IMF ประมาณ 20 ประเทศ เช่น ปากีสถาน กรีก สเปน อิตาลี ปอร์ตุเกส ไอร์แลนด์ ไอซ์แลนด์ ฮังการรี ยูเครน ฯลฯ

ความเสียหายที่เกิดจากการพังทลายของตลาดหุ้น เกิดที่ประเทศไหน ก็จะเป็นแบบเดียวกันทุกประการ ประเทศไทยก็เกิดหนี้เสีย อเมริกา ก็เกิดหนี้เสีย(จนต้องเพิ่มเพดานหนี้) ที่ กรีก สเปน อิตาลี ฯลฯ ก็เป็นผลมาจากการพังทลายของตลาดหุ้นของแต่ละประเทศทั้งสิ้น (ค่าเงินเสียหาย สภาพคล่องเสียหาย เอกชนล้มลง เกิดหนี้เสีย)


ผลกระทบจากการที่ตลาดแนสแดกซ์และค่าเงินเหรียญสหรัฐพังทลาย

ผลกระทบต่อตลาดหุ้นโลกและตลาดหุ้นภูมิภาค

2001-2007 (2544-2550) ตลาดหุ้นโลก ยุโรป พุ่งขึ้นแรง
2008 (2551) ตลาดหุ้นโลก ยุโรป พังทลายลงแรง เป็น (Hamburger Crisis)

ตลาดหุ้นทั่วโลกได้รับผลดี จากการพังทลายของตลาดหุ้นแนสแดกซ์และค่าเงินเหรียญสหรัฐในปี 2000 เงินไหลออกจากอเมริกา ออกมาซื้อตลาดหุ้นทั่วโลก ตลาดหุ้นโลกสูงขึ้นต่อเนื่องเป็นเวลาประมาณ 6 ปีติดต่อกัน ขึ้นไปสูงสุดช่วงปลายปี 2007 ก่อนที่จะถล่มลงในปี 2008 (Hamburger Crisis)
แผนภูมิซ้าย เป็นดัชนีหุ้นโลก 92 ประเทศ แผนภูมิขวา แยกออกมาให้เห็นเป็นดัชนีตลาดหุ้นยุโรป39 ประเทศ รูปแบบการขึ้นลงของดัชนีตลาดหุ้นยุโรปเป็นแบบเดียว เวลาเดียวกัน กับตลาดหุ้นโลก แต่การพังทลายของตลาดหุ้นยุโรปแรงกว่าตลาดหุ้นโลก ขณะที่ของโลกตก 62 เปอร์เซ็นต์ ของยุโรปตก 71 เปอร์เซ็นต์

ตลาดหุ้นภูมิภาคอื่นๆ เช่นภูมิภาคเอเชีย ภูมิภาคแอฟริกา และ ภูมิภาคอเมริกา ก็ขึ้นและตกในรูปแบบเดียวกันและเวลาเดี๋ยวกันนี้

ตลาดหุ้นยุโรปตกลง 71 เปอร์เซ็นต์ ค่าเงินโลก ค่าเงินยูโร ก็จะเสียหายเช่นเดียวกัน เป็นที่มาของการล้มลงของภาคการผลิตจริง และภาคบริการ หนี้เสียสูง โดยเฉพาะประเทศในยุโรป ต้องเข้ารับความช่วยเหลือทางการเงินจากประชาคมเศรษฐกิจยุโรป และไอเอ็มเอฟ เช่น ไอซแลนด์ ไอร์แลนด์ ปอร์ตุเกส อิตาลี สเปน และกรีซ

ผลกระทบต่ออาเซียน

2008 (2551) ประเทศอาเซียน ตลาดหุ้นอาเซียนตก ค่าเงินอาเซียนตก

ตลาดหุ้นอาเซียนก็สูงขึ้นแบบเดียวกับตลาดหุ้นโลกระหว่างปี 2000-2007 แล้ว ก็พังทลายลงในปี 2008 เช่นเดียวกัน เป็น Hamburger Crisis เช่นเดียวกัน

แผนภูมิซ้าย เป็นดัชนีตลาดหุ้นอาเซียน 7 ประเทศ

แผนภูมิขวา เป็นดัชนีค่าเงินอาเซียน 7 ประเทศ

ตามภาพที่ลูกศรชี้ลง แสดงให้เห็นว่า ตลาดหุ้นอาเซียนตกลง ค่าเงินเงินอาเซียนก็ตกลง

ยืนยัน การตกลงของตลาดหุ้นอาเซียน เป็นต้นเหตุ ให้ค่าเงินอาเซียนตก

หมายเหตุ ดัชนีตลาดหุ้นอาเซียน 7 ประเทศ ดัชนีค่าเงินอาเซียน 7 ประเทศ เป็นดัชนีที่ผู้เขียนพัฒนาขึ้นมาเอง

ผลกระทบต่อราคาโภคภัณฑ์ เช่นราคา ทองคำ น้ำมัน

การพังทลายของแนสแดกซ์ ในปี 2000 ทำให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐเสียหายหรือมีค่าน้อยลง ทำให้การซื้อสินค้าและบริการในปริมาณเท่าเดิม ต้องใช้เงินเหรียญสหรัฐมากขึ้น ทำให้เห็นว่าราคาสินค้าและบริการนั้นราคาสูงขึ้น

นอกจากค่าเงินและตลาดหุ้นของประเทศต่างๆจะสูงขึ้นแล้ว และสูงขึ้นอย่างรุนแรง (ที่นำเสนอช่วงต้น) ราคาทองคำและน้ำมันก็สูงขึ้นรุนแรง ก็คือเงินเฟ้อโลกหรือค่าครองชีพโลกสูงขึ้นอย่างรุนแรงนั่นเอง เป็นต้นเหตุให้มีการชุมนุม จลาจล ในหลายๆประเทศ

การสวมรอยปั่นราคา การสูงขึ้นและตกลงของ ค่าเงินประเทศต่างๆ ตลาดหุ้นประเทศต่างๆ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ไม่ได้เป็นไปตามปัจจัยพื้นฐานอย่างเดียว แต่เป็นไปตามปัจจัยทางเทคนิค ที่เกี่ยวข้องกับจิตวิทยามวลชน ต่อนักลงทุนทั่วโลก โดยสวมรอยปั่นให้ขึ้นแรง และตกแรง การสวมรอยปั่น ตลาดเงิน ตลาดหุ้น ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ เกิดขึ้นในเวลาเดียว และทิศทางเดียวกันทั้งโลก

Hamburger crisis ในปี 2008 ราคาน้ำมันถูกนำมาประกอบการปั่น ทั้งปั่นขึ้นและปั่นลง ภาพของการตกลงของราคาน้ำมัน (แผนภูมิขวา) ที่ตกลงรวดเร็วและรุนแรง เกิดขึ้นช่วงระยะเวลา 6 เดือน ของครึ่งหลังปี 2008 เท่านั้น

ไม่มีตลาดหุ้น ตลาดเงิน หรือราคาสินค้าโภคภัณฑ์ใด ไม่ถูกปั่น ล้วนมีการสวมรอยปั่นได้ง่าย จะทำให้ดีกรีความเสียหายมากกว่าปกติ กลุ่มคนปั่น หรือ Hedge Fund จะได้กำไรความจากความแตกต่างของราคามากกว่าปกติ

หลังปี 2000 การปั่นตลาด มันไม่ได้เกิดขึ้นกับประเทศหนึ่งประเทศใดประเทศเดียว แต่มันเกิดเป็นทั้งภูมิภาคหรือทั้งโลก มีการสวมรอยปั่นตลาดเงิน ตลาดทุน ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ของโลกทั้งโลก
 
เกิดอะไรกับค่าเงินหยวนของจีนและค่าเงินริงกิตของมาเลย์เซีย

กลางปี 2005 เงินหยวนของจีน และเงินริงกิตของมาเลย์เซียไม่สามารถยืนค่าเดิมตามที่ตั้งใจผูกค่าไว้ จำเป็นต้องลอยค่า และปล่อยให้แข็งค่าขึ้น

การพังทลายของตลาดแนสแดกซ์ปี 2000 ทำให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐพังทลายลง

ก่อนกลางปี 2005 เงินหยวนจีนได้ผูกค่า (fixed) กับเงินเหรียญสหรัฐ

คงจำกันได้ ช่วงประเทศไทยลอยค่าเงินบาทและเข้าโครงการไอเอ็มเอฟในปี 2540 ทางประเทศมาเลย์เซียก็ได้ลอยค่าเงินริงกิตเช่นกัน แต่ปี 2541กลับลำไปผูกค่าไว้กับเงินเหรียญสหรัฐอีกครั้ง นักวิชาการและสื่อมวลชวนต่างชื่นชมประเทศมาเลย์เซีย

เมื่อเงินหยวนและริงกิตผูกค่าไว้กับเงินเหรียญสหรัฐ ส่งผลให้ค่าเงินหยวนและเงินริงกิตอ่อนกว่าความเป็นจริง ทำให้มีการเข้ามาไล่ซื้อเงินหยวนและเงินริงกิตตั้งแต่ปี 2000 ซื้อจนถึงกลางปี 2005 ต้านไม่ไหว ยอมยกธงขาว ยกเลิกการผูกค่าไว้อีกต่อไป จะเห็นว่ากลางปี 2005 เงินหยวนและเงินริงกิตต่างแข็งค่าขึ้นด้วยกันทั้งคู่

เป็นการพ่ายแพ้ของจีนและมาเลย์เซียต่อ Hedge Fund ครั้งสำคัญ เพียงแต่เป็นการพ่ายแพ้แบบเงินไหลเข้าประเทศ คนทั่วไปจึงไม่รู้สึกว่ามีความเสียหาย แต่แท้ที่จริงมีความเสียหาย ผู้ที่มีกำไรจากเรื่องนี้คือบรรดา Hedge Fund ยิ่งเงินหยวนแข็งค่าขึ้นเท่าใด Hedge Fund ยิ่งกำไรมากขึ้นเท่านั้น สักวันหนึ่ง ที่เงินไหลเข้านี้ มันก็จะไหลออกได้เช่นกัน

ระหว่างกลางปี 2008 ที่โลกเป็น Hamburger Crisis ถึงกลางปี 2010 จีนได้กลับลำไปผูกค่าเงินอีกครั้ง (ดูที่แผนภูมิของเงินหยวน) แต่แล้วก็ไปไม่รอด เงินหยวนถูกไล่ซื้อ จนค่าเงินหยวนแข็งค่าต่อเนื่องถึงทุกวันนี้


ประวัติศาสตร์ดอกเบี้ยของประเทศไทย ตลาดหุ้นพังทลายในปี 2537 ทำให้ค่าเงินบาทเสียหาย ทำให้สภาพคล่องเสียหาย เห็นได้จากการสูงขึ้นของดอกเบี้ย หลังลอยค่าเงินบาท สภาพคล่องกลับคืนมา อัตราดอกเบี้ยลดลง


ประวัติศาสตร์เงินเฟ้อของประเทศไทย การลอยค่าเงินบาทตั้งแต่กลางปี 1997 (2540) เงินบาทด้อยค่าลงรุนแรง ทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น และอีกครั้งหนึ่งในปี 2551 (2008) ช่วง Hamburger Crisis เงินบาทอ่อนค่า จะเห็นว่าเงินเฟ้ออยู่ระดับสูงเช่นกัน ความเสียหายของค่าเงินเป็นต้นเหตุให้เงินเฟ้อสูงขึ้น การพังทลายของค่าเงินเหรียญสหรัฐ ทำให้เงินเฟ้อโลกสูงขึ้น


สภาพคล่องของระบบ การพังทลายของตลาดหุ้นในปี 2537 ทำให้ค่าเงินบาทเสียหาย ถึงเดือนกรกฎาคมปี 2540 ที่ต้องเข้าโครงการณ์ไอเอ็มเอฟ ทุนสำรองลดลงเหลือ 1,144 ล้านเหรียญสหรัฐ (วงกลม)

ตลาดแนสแดกซ์และค่าเงินเหรียญสหรัฐพังทลายในปี 2000 (2543) ทำให้เงินไหลออกจากอเมริกามายังภูมิภาคต่างๆของโลก รวมทั้งเข้ามายังประเทศไทย ทำให้ทุนสำรองไทยสูงขึ้น

การเริ่มเปิดตลาดอนุพันธ์ในปี 2547 ทำให้เงินไหลเข้ามาเก็งกำไรด้วย หลังรัฐประหาร เงินก็ยังไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง จนรู้สึกว่าล้นเกิน กระทั่งวันที่ 19 ธันวาคม 2549 ต้องออกมาตรการกันสำรอง 30 เปอร์เซ็นต์เงินทุนไหลเข้า

ช่วง Hamburger Crisis ปี 2551 ตลาดหุ้นไทยก็ตก ค่าเงินบาทตกลง เป็นอีกจุดหนึ่งที่แสดงว่าการเปลี่ยนแปลงของตลาดทุน มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงของทุนสำรอง


ทุนสำรองเงินตราโลก รวบรวมจากประมาณ 150 ประเทศ ทุกวันนี้ทุนสำรองที่อยู่ในธนาคารกลางประเทศต่างๆ ไม่ใช่ของประเทศนั้นๆแล้ว แต่เป็นของบรรดากองทุนโลกหรือเฮดจ์ฟันด์ เขาจะนำเข้า หรือจะถ่ายเทออกเมื่อใดก็ได้  ดังเช่นกลางปี 2540 ทุนสำรองของไทยตกลงเหลือ 1,144 ล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น จากที่ก่อนหน้านั้นเคยสูงถึง 40,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ที่ทำให้ไทยต้องเข้าไอเอ็มเอฟครั้งที่ 2
ข้อมูล ความรู้ ความเข้าใจที่นำเสนอมาแต่แรก คือความพยายามที่จะแสดงว่า ตลาดทุนคือสิ่งผิดปกติของโลกทุนนิยม

การเปิดตลาดอนุพันธ์ ยิ่งเพิ่มความผิดปกติให้ให้ตลาดหุ้นมาขึ้น ตลาดอนุพันธ์คือการซื้อตัวเลขอ้างอิง กับดัชนีหุ้น ราคาหุ้น ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เช่นราคาสินค้าเกษตร ราคาทองคำ ราคาน้ำมัน ได้เสียมากกว่าการซื้อขายหุ้นธรรมดา 10 เท่า เนื่องจากใช้เงินประกันการซื้อขาย 10 เปอร์เซ็นต์ ราคาขึ้นก็มีกำไร (ซื้อก่อนขายทีหลัง) ราคาตกก็มีกำไร (ขายก่อนแล้วซื้อคืนทีหลัง) คนรู้ตลาด คนคุมตลาดได้ (Hedge Fund) มั่งคั่งฝ่ายเดียว คนท้องถิ่นหมดตัวอย่างเดียว

กองทุนโลก หรือเฮดจ์ฟันด์ มีข้อมูล ความรู้ ความเข้าใจ มีประสบการณ์ มีทุน และสามารถเคลื่อนย้ายทุนไปตามภูมิภาคต่างๆได้อย่างคล่องตัว จึงสามารถคุมทั้งตลาดทุน ตลาดโภคภัณฑ์ ตลาดเงิน ไม่ว่าราคาของตลาดทุน ตลาดโภคภัณฑ์ ตลาดเงิน จะเป็นอย่างไร เขาก็สามารถทำกำไรได้ทุกทิศทาง ขึ้นก็มีกำไร ตกก็มีกำไร จะเห็นว่าปี 2008 ที่เกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ทุนสำรองโลกก็ยังเพิ่มขึ้น

ทุกวันนี้ทุนสำรองที่อยู่ในธนาคารกลางประเทศต่างๆ ไม่ใช่ของประเทศนั้นๆแล้ว แต่เป็นของบรรดากองทุนโลกหรือเฮดจ์ฟันด์ เขาจะนำเข้า หรือจะถ่ายเทออกเมื่อใดก็ได้ กองทุนโลกหรือเฮดจ์ฟันด์มั่งคั่งแต่ฝ่ายเดียว แต่คนท้องถิ่นยากจนลง หากสถานการณ์ยังเป็นอยู่เช่นนี้ อนาคตคนฝากเงินอาจจะต้องชำระค่าฝากเงินแก่ธนาคาร ไม่ใช่ได้รับดอกเบี้ยเงินฝาก ดังเช่นที่เคยเป็นมา

ส่วนแบ่งผู้ถือหุ้นคนไทยในธนาคารพาณิชย์ของไทย

ดูจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ธนาคารพาณิชย์ของไทย พบว่าสัดส่วนที่เป็นของคนไทยน้อยมาก ส่วนใหญ่ตกเป็นของต่างชาติ หรือตกเป็นของกองทุนหลายสัญชาติ เป็นผลมาจากมีเครื่องมือที่ผิดปกติอยู่ในระบบ    
ทุกวันนี้ประเทศไทยไม่ได้ยืนอยู่บนขา(ทุน) ตัวเอง แต่ยืนอยู่ได้ด้วยขา (ทุน) ต่างชาติ

เรื่องเช่นนี้ไม่ได้เกิดที่ประเทศไทยที่เดียว แต่เกิดกับทุกประเทศทั่วโลก การเกิดหนี้เสียที่อเมริกาและยุโรปขณะนี้ มีต้นเหตุมาจากการพังทลายของตลาดหุ้นในเบื้องต้น การพังทลายของตลาดแนสแดกซ์ในปี 2000 คือจุดเริ่มต้นการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกา การพังทลายของตลาดหุ้นยุโรปในปี 2008 (Hamburger Crisis) คือจุดเริ่มต้นการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจของยุโรป

การเกิดวิกฤติเศรษฐกิจของยุโรปในปี 2008 เป็นผลต่อเนื่องจากการพังทลายของตลาดหุ้นของอเมริกาในปี 2000 เป็นความสัมพันธ์ที่ต่อเนื่องกัน (สัมพันธ์กันทั้งโลก)

Subprime ไม่ใช่ต้นเหตุของปัญหา แต่ Subprime “เป็นผล” มาจากมาจากการพังทลายของตลาดหุ้นแนสแดกซ์ในปี 2000 ที่ทำให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐเสียหาย ทำให้สภาพคล่องของอเมริกาเสีย เอกชนรายเล็ก (Subprime) ล้มลง

แล้วก็ตามมาด้วยการล้มลงของเอกชนขนาดใหญ่เช่น Enron, WorldCom, Bear Stern, Fannie Mae, Freddie Mac, Lehman Brothers, Merrill Lynch และ AIG รัฐบาลอเมริกันต้องใช้เงินจำนวนมากได้เข้าไปอุ้มสถาบันการเงิน ทำให้เพดานหนี้ของอเมริกาหลังปี 2000-2012 เพิ่มขึ้นสูงกว่า 16 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ

ความเสียหายทางเศรษฐกิจของไทย อเมริกา ยุโรปและประเทศต่างๆ มีต้นเหตุมาจากเรื่องเดียวกัน

ทำให้เงินฟ้อและค่าครองชีพสูงขึ้นอย่างผิดปกติ ทำให้คนตกงาน ทำให้ระบบยากจนลง
และทำให้ Hedge Fund โลกมั่งคั่งขึ้น


สรุป กลไกที่ทำให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจ 

 สมการตลาดเงินตลาดทุน ตลาดหุ้นพังทลาย ค่าเงินพังทลาย

 สมการตลาดเงินตลาดทุน กรณีของเงินหยวนจีน (และเงินริงกิตมาเลย์เซีย)


สรุปภาพใหญ่ การทำลายที่สูงกว่าการสร้างสรรค์ ก็จะมีแต่ความเสื่อม

1) การพังทลายของตลาดหุ้นแนสแดกซ์ปี 2000 ทำให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐเสียหาย สภาพคล่องเสียหาย เกิดการล้มลงของเอกชนอเมริกันทั้งระบบ ทำให้ค่าเงิน ทุนสำรอง ตลาดหุ้น นอกเขตดอลลาร์สูงขึ้น ราคาสินค้าโภคภัณฑ์สูงขึ้น เงินเฟ้อและค่าครองชีพโลกสูงขึ้น

2) การพังทลายของตลาดหุ้นโลกในปี 2008 (Hamburger Crisis) คือเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องมาจากการพังทลายของตลาดแนสแดกซ์ในปี 2000 ทำให้โลกเกิดความเสียหายคล้ายกัน ซ้ำเติมกัน


กองทุนโลก Hedge Fund เป็นเจ้าของสินทรัพย์รายใหญ่ของโลก


9/9/2554

วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Hamburger Crisis

1999-2002 มีการโจมตีประเทศสหรัฐอเมริกา 2 รูปแบบ

1) 1999-2003 มีการโจมตีตลาดหุ้นแนสแดกซ์ โดยกองทุนโลก หรือ Hedge Fund ก่อให้เกิดความเสียหายสูงมาก ไม่ใช่เป็นความเสียหายเฉพาะที่ แต่เป็นความเสียหายของระบบ ไม่ได้เกิดความเดือดร้อนเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกาเท่านั้น แต่เกิดความเสียหายไปทั่วโลก เป็นเหตุให้เงินเฟ้อ หรือค่าครองชีพของโลกสูงขึ้น 

การปรับปรุงตัวหุ้นในการคำนวณดัชนีแนสแดกซ์ในปี 1999 (Index reform) โดยนำหุ้นที่มีมูลค่าตลาดสูงเพิ่มเข้ามาในการคำนวณดัชนี ยกตัวอย่างหุ้นไมโครซอฟท์ ทำให้ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของดัชนีสูงขึ้นมาก (Standard deviation) ทำให้ดัชนีอ่อนแอสูง จึงถูกปั่นได้ หรือถูกโจมตีได้ง่าย ทำให้ดัชนีถูกลากขึ้นไปสูงในต้นปี 2000 ที่ 5,000 จุด แล้วก็ถล่มทุบลงให้พังทลายลงอย่างรุนแรง และลงไปต่ำสุดที่ 1,114 จุดในปี 2002

เป็นเช่นนี้ทุกตลาดทั่วโลก.. ตลาดหุ้นพังทลาย ทำให้ค่าเงินพังทลาย..
การพังทลายของตลาดแนสแดกซ์ ทำให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐพังทลายลงด้วย

ค่าเงินเหรียญสหรัฐเริ่มพังทลายลงหลังปี 2000 เมื่อเทียบกับเงินทุกสกุล รวมทั้งสกุลเงินบาท และสุกลเงินที่ใหญ่อันดับที่ 2 และ 3 ของโลกคือสกุลเงิน EURO (EUR) และสกุลเงิน YEN ตามที่เห็นในภาพ

เงินเหรียญสหรัฐเป็นสกุลเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก ถือว่าเป็นสกุลเงินของโลก การพังทลายของเงินเหรียญสหรัฐ ทำให้เงินเฟ้อโลกเพิ่มขึ้นรุนแรง นำความเสียหาย นำความเดือดร้อนมาสู่ชาวโลกอย่างทารุณ

กลไก (Mechanism)

เมื่อเงินสหรัฐเสียหาย ไม่ได้รับความเชื่อมั่น คนก็ไม่ถือเงินเหรียญสหรัฐ หรือทำให้ “ของ”นอกดอลลาร์โซนราคาถูกเมื่อเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐ จึงนำดอลลาร์ไปซื้อ “ของ” นอกดอลลาร์โซน ของเหล่านั้น ได้แก่เงินประเทศต่างๆ ตลาดหุ้นประเทศต่างๆ สินค้าโลหะคงทนต่างๆ สินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ รวมทั้งธุรกรรมการบริการต่างๆ เช่นธุรกรรมการส่งการเดินทาง เช่นเครื่องบินและการเดินเรือสมุทรเป็นต้น ทำให้ "ของ" เหล่านั้นราคาสูงขึ้น

ราคา “ของ” เริ่มสูงขึ้นตั้งแต่ปี 2001-2002 และไต่ระดับสูงขึ้นไปถึงปลายปี 2007 ขึ้นมาสูงมาก จากนั้นราคานั้นก็พังทลายลงในปี 2008 คนในวงการให้ชื่อมันว่า “Hamburger Crisis” ขอนำเสนอราคา “ของ” ที่สูงขึ้น แล้วพังทลายลงเป็น Hamburger Crisis ที่เป็นผลจากค่าเงินเหรียญสหรัฐเสียหายหลังปี 2000 ต่อไปนี้  

G92-Index คือค่าเฉลี่ยดัชนีตลาดหุ้นประเทศต่างๆทั่วโลก 92 ประเทศ

จากปี 2001 ตลาดหุ้นโลก G92-Index ใช้เวลาประมาณ 6 ปี ถึงปลายปี 2007 สูงขึ้น 463 เปอร์เซ็นต์ แล้วจึงพังทลายลงในปี 2008 ลงไป 62 เปอร์เซ็นต์เป็น “Hamburger Crisis” แล้วจึงมีการฟื้นตัวขึ้นใหม่




ASIA28-Index คือค่าเฉลี่ยดัชนีตลาดหุ้นในเอเชีย 28 ประเทศ

จากปี 2001 ASIA28 Index ใช้เวลาประมาณ 6 ปี ถึงปลายปี 2007 สูงขึ้น 460 เปอร์เซ็นต์ แล้วจึงพังทลายลงในปี 2008 ลงไป 55 เปอร์เซ็นต์เป็น “Hamburger Crisis” แล้วจึงมีการฟื้นตัวขึ้นอีก




ASEAN7-Index คือค่าเฉลี่ยดัชนีตลาดหุ้นอาเซียน 7 ประเทศ

จากปี 2001 ตลาดหุ้น ASEAN7 Index ใช้เวลาประมาณ 6 ปี ถึงปลายปี 2007 สูงขึ้น 399  เปอร์เซ็นต์ แล้วจึงพังทลายลงในปี 2008 ลงไป 55 เปอร์เซ็นต์เป็น “Hamburger Crisis” แล้วจึงมีการฟื้นตัวขึ้น



                                                                                                                                                                                                                                             THAILAND - Index แสดงถึงผลกระทบต่อ SET Index, Baht & International reserve

ได้รับผลการทบจากเงินไหลเข้าในปีหลังการพังทลายลงของตลาด แนสแดกซ์ในปี 2000 เช่นกัน หุ้นขึ้นมาระดับหนึ่ง จากนั้นตลาดหุ้นก็พังทลายลงในปี 2008 ในเวลาเดียวกัน ก็ส่งผลให้ค่าเงินบาทตกลง และทุนสำรองการเงินระหว่างประเทศก็ลดลงด้วย เป็น Hamburger Crisis เช่นเดียวกัน  


EUROPE39-Index คือค่าเฉลี่ยดัชนีตลาดหุ้นยุโรป 39 ประเทศ

จากปี 2001 EUROPE39-Index ใช้เวลาประมาณ 6 ปี ถึงปลายปี 2007 สูงขึ้น 365 เปอร์เซ็นต์ แล้วจึงพังทลายลงในปี 2008 ลงไป 71 เปอร์เซ็นต์เป็น “Hamburger Crisis” แล้วจึงฟื้นตัว




เงินเหรียญสหรัฐไหลเข้าซื้อเงินของของประเทศต่างๆ ทั่วโลก

ทำให้เงินของประเทศต่างๆแข็งค่าขึ้นประมาณ 6 ปี แล้ว ยกตัวอย่างเช่น เงินยูโร เงินเยน เงินดอลลาร์อาเซียน แล้วค่าเงินก็พังทลายลงในปี 2008 หรือพังทลายลงในเวลาเดียวกันกับการพังทลายของตลาดหุ้น



เงินยูโร แข็งขึ้น 81 เปอร์เซ็นต์ และปรับตัวลง 22 เปอร์เซ็นต์ ใน Hamburger Crisis ปี 2008
เงินเยน แข็งขึ้น 35 เปอร์เซ็นต์ และปรับตัวลง 9 เปอร์เซ็นต์ ใน Hamburger Crisis ปี 2008
เงินอาเซียนดอลลาร์ แข็งขึ้น 25 เปอร์เซ็นต์ และปรับตัวลง 16 เปอร์เซนต์ ใน Hamburger Crisis ปี 2008

สังเกตว่าเงินยูโร ขึ้นและลง แรงกว่าอีก 2 สกุลเงิน ที่ส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจของยุโรปทั้งระบบ ทำให้สภาพคล่องเสียหาย และเกิดหนี้เสียในช่วงท้าย ไม่ว่า ไอร์แลนด์ ไอซ์แลนด์ ปอร์ตุเกส กรีซ สเปน อิตาลี ฯลฯ 

ผลต่อราคาสินค้าโภคภัฑณ์เช่น ทองคำ น้ำมัน

การอ่อนค่าของเงินเหรียญสหรัฐ ในการซื้อ “ของ” ในปริมาณเท่ากัน จึงต้องใช้ปริมาณเงินมากขึ้นกว่าเดิม จึงทำให้เห็นว่าของเหล่านั้นราคาสูงขึ้น จึงส่งผลให้ราคาทองคำและราคาน้ำมันสูงขึ้น สังเกตว่าราคาทองคำและราคาน้ำมันสูงขึ้นหลังปี 2000 หรือหลังการพังทลายของตลาดหุ้นแนสแดกซ์และค่าเงินเหรียญสหรัฐ

ปี 2008 ราคาทองคำ และ น้ำมันก็ตกลงเช่นเดียวกับการตกลง ของตลาดหุ้นและตลาดเงิน โดยเฉพาะราคาน้ำมันตกแรงและเร็วมาก ภาพการตกของราคาน้ำมัน ใช้เวลาประมาณ 6 เดือนเท่านั้น ราคาน้ำมันเป็นตัวชี้นำนำการปั่นหุ้น ถ้าราคาน้ำมันขึ้น หุ้นโลกก็ขึ้น ถ้าราคาน้ำมันตก หุ้นโลกก็ตก  ถ้าราคาน้ำมันขึ้นแรง หุ้นโลกก็ขึ้นแรง  ถ้าราคาน้ำมันตกแรง หุ้นโลกก็ตกแรง

ปี 2000 คือจุดเริ่มต้นของวิกฤตเศรษฐกิจโลก

การที่ "ราคาของ" ต่างๆสูงขึ้น ก็คือเงินเฟ้อโลกสูงขึ้น หรือค่าครองชีพโลกสูงขึ้น คนเดือดร้อนกันทั่วโลก ประชาชนหลายประเทศออกมาเดินขบวนบ้าง จลาจลบ้าง เห็นแล้วเป็นที่เวทนา

จลาจลที่อียิปต์
จลาจลที่บาห์เรน












ประท้วงที่สเปน

ประท้วงที่กรีซ










อิตาลี













2) 11/9/2001 การโจมตีตึกคู่แฝด World Trade Center ใจกลางกรุง New York โดยผู้ก่อการร้าย การโจมตีนี้ แม้จะเห็นภาพความเสียหาย แต่เป็นความเสียหายเฉพาะที่ ไม่ใช่ความเสียหายต่อระบบ ความเสียหายจึงไม่มาก เกิดความเสียหายเฉพาะกับอเมริกา เป็นความเสียหายเชิงสัญลักษณ์มากกว่า 

สองรูปแบบการโจมตีประเทศสหรัฐอเมริกา http://t.co/bMxYw4m



สรุปกลไกการเกิด Hamburger Crisis เกิดจากการพังทลายของตลาดแนสแดกซ์ในปี 2000 ที่ทำให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐพังทลายด้วย ทำให้เงินไหลออกจากอเมริกา มาซื้อเงิน มาซื้อหุ้น ซื้อสินค้าโภคภัณฑ์ ทำให้ราคาของเหล่านั้น ขึ้นมาสูงสุดที่ปลายปี 2007 จากนั้นราคาก็พังทลายลง(รุนแรง)ตลอดปี 2008 เรียกว่าเป็นวิกฤต Hamburger ทำความเดือดร้อนไปทั่วโลก 


เรื่องคล้ายๆกัน http://thaiworldcom.blogspot.com/2009/01/blog-post.html

วันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2554

สองรูปแบบการโจมตีอเมริกา

.

.
การโจมตีรูปแบบที่ 1  โจมตีตลาดแนสแดกซ์โดยบรรดากองทุนโลกหรือบรรดาเฮ็ดจ์ฟันด์

ดัชนีชี้นำตลาดหุ้นคือค่าตัวกลางอย่างหนึ่ง ที่ใช้สะท้อนภาพรวมของตลาดหุ้น ดัชนีชี้นำตลาดหุ้นต่างๆมีความผันผวนต่างกัน บางตัวผันผวนมาก บางตัวผันผวนน้อย ยกตัวอย่างเช่นดัชนีตลาดหุ้นของประเทศไทย SET50 ผันผวนมากที่สุด SET100 ผันผวนรองลงมา ส่วน SET ผันผวนน้อยกว่า 2 ตัวแรก แต่ SET ก็ผันผวนสูงเป็นอันดับที่ 7 ของโลก การวัดความผันผวนของดัชนี สามารถดูได้จากค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของกลุ่มข้อมูลที่ใช้สร้างดัชนี เช่นกลุ่มข้อมูล “มูลค่าตลาดหุ้น” หรือกลุ่มข้อมูล “ราคาหุ้น” แต่หากหา กลุ่มข้อมูล มูลค่าตลาดหุ้นหรือกลุ่มข้อมูลราคาหุ้นมาวัดค่าไม่ได้ เราก็สามารถนำค่าการแกว่งตัวของดัชนี (swing) ในแต่ละช่วงเวลามาพิจารณาค่าความแรงของการแกว่งตัวของดัชนีได้

ทำไมผู้เขียนจึงเอาเรื่องการผันผวนหรือการแกว่งตัวของดัชนีมานำเสนอ

ทั้งนี้เพราะเกี่ยวข้องกับการปั่นดัชนีหุ้น ดัชนีหุ้นที่มีค่าการแกว่งตัวสูงหรือเบี่ยงเบนสูงจะถูกปั่นได้ง่าย ดัชนีหุ้นที่มีค่าการแกว่งตัวต่ำหรือเบี่ยงเบนต่ำจะถูกปั่นได้ยาก

ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นเจ้าแห่งข้อมูล เฉพาะดัชนีตลาดหุ้นก็มีเป็น 100 ดัชนี ดัชนีที่ผู้เขียนนำเสนอนี้ เป็นส่วนหนึ่งของดัชนีตลาดหุ้นของประเทศสหรัฐอเมริกา ที่เป็นที่รู้จักกันพอสมควร เรียงลำดับความแรงการแกว่งตัวของดัชนีจากมากไปหาน้อยดังนี้ 1) NASDAQ 14.28% 2) RUSSELL2000 8.24% 3) S&P500 8.04% 4) DJIA (Dow Jones) 7.91% 5) NYSE 7.15% 6) AMEX 5.54% จะเห็นว่า NASDAQ มีค่าการแกว่งตัวสูงที่สุด

สาเหตุที่ดัชนีแนสแดกซ์แกว่งตัวแรง จนกลายเป็นดัชนีที่แกว่งตัวแรงที่สุดของตลาดหุ้นอเมริกา เพราะในปี 1999 ได้มีการนำหุ้นกลุ่มที่มีมูลค่าตลาดสูง 3-4 ตัว เช่นหุ้นบริษัทไมโครซอฟท์ (MSFT) รวมเข้าไปในการคำนวณดัชนี มีผลทำให้ดัชนีแนสแดกซ์มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานสูงขึ้นมาทันที ทำให้การแกว่งตัวของดัชนีสูงขึ้น หรืออ่อนแอมากขึ้น ถูกโจมตีได้ง่ายขึ้น

ผู้เขียนได้แยกวัดค่าการแกว่งตัวของดัชนีแนสแดกซ์ออกเป็น 2 ช่วง ช่วงแรก ระหว่างปี 1995-1998 พบว่ามีค่าการแกว่งตัว 7.21% ช่วงที่ 2 ระหว่างปี 1999-2002 พบว่ามีค่าการแกว่งตัว 14.28% แสดงว่าดัชนีแนสแดกซ์ได้รับผลกระทบจากการเพิ่มหุ้นที่มีมูลค่าตลาดสูงเข้าไปในการคำนวณดัชนีในปี 1999 จริง

นั่นคือที่มาว่าทำไมตลาดแนสแดกซ์จึงถูโจมตีในปี 1999-2001 ได้ง่าย 



รูปแบบการโจมตี เป็นแบบเดียวกันทุกตลาดหุ้น คือมีการหนุนให้ดัชนีขึ้นไปให้แรงที่สุด จากนั้นก็ถล่มทุบลงมา ข่าวการปรับปรุงตัวหุ้นในการคำนวณดัชนี (Index reform) รับรู้ตั้งแต่ปี 1998 จึงมีการลากดัชนีมาเตรียมพร้อม เมื่อมีการปรับปรุงดัชนีจริงในช่วงปลายปี 1999 จึงมีการกระชากหุ้นขึ้นรวดเร็วและแรง ขึ้นไปสูงสุดในต้นปี 2000 ที่ประมาณ 5,000 จุด จากนั้นก็ถล่มทุบลงมา นายอลัน กรีนสแปน ผู้ว่าการธนาคารกลางของสหรัฐ ต้องออกมาเตือนให้ระวังการลงทุนในหุ้นดอทคอม ดัชนีลงมาต่ำสุดในปลายปี 2001 พอดีมีผู้ก่อการร้ายจี้เครื่องบินเข้าชนตึก World Trade Center(WTC) ที่กรุงนิวยอร์ค เมื่อ 11 กันยายน 2001 ส่งผลให้ดัชนีลงไปต่ำสุดที่ประมาณ 1,500 จุด รวมแล้วจากจุดสูงสุดถึงจุดต่ำสุด ดัชนีตกลงไป 78 เปอร์เซ็นต์ ที่นำเสนอบทความนี้ ในปี 2011 เวลาผ่านไป 11 ปีแล้ว ดัชนีแนสแดกซ์ยังไม่สามารถขึ้นมาถึงจุดเดิมได้  


ผลที่เกิดขึ้นหลังจากการพังทลายของตลาดหุ้น เกิดกับประเทศใด เมื่อใด จะเป็นแบบเดียวกันทุกประเทศ ต่างกันที่มากน้อย

1)   ทำให้ค่าเงินเสียหาย
2)   ทำให้ทุนสำรองลดลง
3)   ทำให้สภาพคล่องของระบบลดลง และเสียหาย
4)   ทำให้อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น (เพราะสภาพคล่องเสียหาย)
5)   ทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น (เพราะค่าเงินเสียหาย อ่อนค่า)
6)   ทำให้ภาคการเงิน และภาคการผลิตจริงล้มลง และล้มละลาย
7)   ทำให้เกิดภาวะหนี้เสีย เมื่อรัฐเข้าไปอุ้ม ทำให้เกิดหนี้สาธารณะ
8)   ทำให้คนตกงานมาก
9)   ทำให้ต้องเข้าไอเอ็มเอฟ
10) ทำให้ระบบยากจนลง

การพังทลายของตลาดหุ้นแนสแดกซ์ในปี 2000 ส่งผลให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐเสียหายด้วย ค่าเงินเหรียญสหรัฐตกลงอย่างมีนับสำคัญเมื่อเทียบกับสกุลเงินยูโรและสกุลเงินเยน(กราฟ) รวมทั้งสกุลเงินต่างทั่วโลก รวมทั้งสกุลเงินบาทด้วย เงินเหรียญสหรัฐไม่ได้รับความเชื่อมั่น ทำให้คนไม่ถือเงินเหรียญสหรัฐและสินทรัพย์ที่อยู่รูปสกุลดอลล่าร์สหรัฐ จึงขายดอลล่าร์แล้วซื้อเงินสกุลอื่นหรือสินทรัพย์ในสกุลเงินอื่นและสินค้าโภคภัณฑ์(เงินไหลออกจากสหรัฐ) ทำให้สภาพคล่องของอเมริกาเสียหาย ทำให้เกิดการล้มลงและล้มละลายของภาคการผลิตจริง และภาคการเงิน เกิดเป็นหนี้เสียตามมา

อเมริกาแก้ปัญหาการขาดสภาพคล่องด้วยการใช้ CDOs (Collateralized debt obligations) และ CDS (A credit default swap) หมายถึงให้สถาบันการเงินกู้เงิน และให้มีการค้ำประกันเงินกู้ มาใช้ในธุรกรรมตลาดเงิน ปรากฏว่าไปไม่รอด ส่งผลมีการล้มละลายอย่างกว้างขวางมากขึ้น และทำให้ความเสียหายสูงมากกว่าปกติขึ้นไปอีก


ความเสียหาย และการล้มละลาย เห็นได้จากกรณี Subprime รวมทั้งการล้มลงของสถาบันการเงินขนาดใหญ่ Enron WorldCom Bear Stern Fannie Mae Freddie Mac Lehman Brothers Merrill Lynch AIG ฯลฯ รัฐบาลอเมริกันต้องเข้าไปอุ้ม ทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ปี 2010 หนี้สาธารณะสูงขึ้นมาเป็น 14.29 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ก็ยังไม่เพียงพอ ต้องแก้กฎหมายเพิ่มเพดานหนี้อีก

การโจมตีรูปแบบที่ 2 โจมตีตึกย่านธุรกิจและที่ทำการรัฐบาลสหรัฐตีโดยผู้ก่อการร้าย

เช้าวันที่ 11 กันยายน 2001 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา หรือช่วงหัวค่ำเวลาประเทศไทย ผู้ก่อการร้ายทำการจี้เครื่องบิน 4 ลำ เพื่อพุ่งเข้าชนตึกสำคัญของอเมริกา 2 ลำแรกเข้าโจมตีตึก World Trade Center (WTC) ทำให้ตึกแฝดพังทลายลงทั้ง 2 ตึก ลำที่ 3 บินเข้าชนตึกบัญชาการทางทหารเพนตากอน เครื่องบินลำที่ 4 คาดว่าจะบินเข้าชนทำเนียบขาว แต่ปฏิบัติการไม่สำเร็จ ถูกขัดขวางโดยผู้โดยสาร ทำให้เครื่องบินพลาดเป้าไปตกลงที่ Pennsylvania








10 ปีรำลึกการโจมตีตึกแฝด http://news.yahoo.com/behind-the-scenes-look-at-9-11-memorial.html


ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ มีการถ่ายทอดภาพทางโทรทัศน์ ผู้คนเห็นและทราบกันทั่วโลก ที่ผู้ก่อการร้ายจี้เครื่องบินเข้าโจมตีตึกที่ทำการสำคัญๆ ทั้งของเอกชนและของรัฐบาลประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันเช้าวันที่  11 กันยายน 2001 (การโจมตีรูปแบบที่ 2)

จากนั้นก็ได้เกิดสงครามแก้แค้นและเอาคืนของอเมริกา โดยยกกองทัพเข้าโจมตีทั้งที่อิรัก และปฏิบัติการกวาดล้างผู้ก่อการร้ายในอัฟกานิสถานและปากีสถาน ล่าสุดที่ปากีสถาน หน่วยซีไอเอของสหรัฐได้สังหารโอซาม่า บิน ลาเดนเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2011 หรือประมาณ 10 ปีหลังการโจมตีตึกแฝดของกรุงนิวยอร์ค แต่ไม่ได้มีการแก้แค้นและเอาคืนกับการโจมตีตลาดหุ้นอเมริการะหว่างปี 1999-2001 แต่อย่างใด ทั้งนี้เพราะไม่ทราบว่ามีการโจมตีตลาดแนสแดกซ์นั่นเอง

เหล่าบรรดาเฮดจ์ฟันด์ ตลาดหุ้นคือสถานที่ที่เขาทำมาหากิน พวกเขามีความชำนาญ มีข้อมูล มีความรู้ มีความเข้าใจในกลไกความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจมหภาคโลกสูง ทำให้มีกำไรสูง เป็นกอบเป็นกำ จากตลาดหุ้น ตลาดเงิน และตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ เขาจึงเป็นผู้ควบคุม(หรือปั่น)ตลาดทุน ตลาดเงิน ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์

กองทุนโลก กองทุนข้ามชาติ หรือ เฮดจ์ฟันด์ ไม่เคยแยก ว่าเป็นตลาดทุนหรือตลาดเงินของประเทศตะวันตกหรือประเทศตะวันออก ไม่แยก ว่าเป็นของประเทศเกิดใหม่ หรือประเทศเกิดเก่า ไม่ว่าจะเป็นประเทศเล็ก หรือประเทศใหญ่ “เมื่อเขาเห็นจุดอ่อนประเทศใดเกิดขึ้นเมื่อใด" พวกเขาจะรุมจิกแบบไม่เลี้ยงทันที ระหว่างปี 1999 ดัชนีแนสแดกซ์มีการเปลี่ยนแปลงตัวหุ้นในการคำนวณดัชนี ทำให้ดัชนีเบี่ยงเบนสูง อ่อนแอสูง จึงถูกโจมตีอย่างง่ายดาย  

ความเสียหายทางเศรษฐกิจโดยตรงของประเทศสหรัฐอเมริกาหลังการพังทลายของตลาดหุ้นแนสแดกซ์ มีผู้ประเมินไว้ว่ามีมูลค่าสูงถึง 7.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ


ความเสียหาย ตึกคู่แฝด WTC ถูกโจมตี มีมูลค่า 4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ คนตาย 3,000 คน

ขนาดเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกา มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เงินเหรียญสหรัฐก็เป็นเงินสกุลที่ใหญ่ที่สุดของโลก กล่าวได้ว่าเงินเหรียญสหรัฐเป็นสกุลเงินของโลกได้ ความเจริญและความเสื่อมของอเมริกา ก็คือความเจริญและความเสื่อมของโลกด้วย ความเสียหายจากการพังทลายของตลาดแนสแดกซ์ เสียหายมากกว่าที่คนทั่วไปจะเข้าใจ ความเสียหายยังเกิดขึ้นต่อเนื่องแบบไม่รู้จบ หาใช่เกิดความเสียหายต่ออเมริกาเพียงประเทศเดียวแต่อย่างใดไม่ แต่ส่งคลื่นความเสียหายกระจายไปทั่วโลก

การพังทลายของเงินเหรียญสหรัฐ  ที่เป็นผลมาจากการพังทลายของตลาดหุ้นแนสแดกซ์เมื่อปี 2000 หมายความค่าเงินเหรียญสหรัฐมีค่าเล็กลง หมายความว่า การซื้อสินค้าและบริการต่างๆด้วยปริมาณเท่าเดิม จะต้องใช้เงินเหรียญสหรัฐมากขึ้น จึงทำให้เห็นว่าสินค้าและบริการนั้นราคาสูงขึ้น



จะเห็นว่าราคาทองคำและน้ำมัน มีราคาสูงขึ้น

ราคาทองคำ และราคาน้ำมันเริ่มขึ้นหลังปี 2000 (หลังการพังทลายของเงินเหรียญสหรัฐ) ราคาทองคำยังขึ้นต่อเนื่องถึงปี 2011 ซึ่งขึ้นมา 525 เปอร์เซ็นต์แล้ว ส่วนราคาน้ำมันขึ้นมาถึงกลางปี 2008 ขึ้นมา 683 เปอร์เซ็นต์ แล้วราคาก็ปรับตัว ราคาแร่โลหะทั่วไป ราคาถั่วเหลือง ราคามันสัมปะหลัง ราคายางพารา ราคาน้ำตาล ฯลฯ ล้วนสูงขึ้นทั้งหมด (เพราะมูลค่าเงินเหรียญสหรัฐมันเล็กลง)

ก็คือเงินเฟ้อโลกสูงขึ้นนั่นเอง

คนไม่รู้ว่ามีการโจมตีตลาดหุ้น รู้แต่ว่ามีการโจมตีตึกคู่แฝดในกรุงนิวยอร์ค ต้นเหตุความเสียหายอย่างรุนแรงที่เกิดกับประเทศสหรัฐอเมริกาหาใช่ผู้ก่อการร้ายนอกประเทศแต่อย่างใดไม่ หาใช่ผู้ก่อการร้ายที่จี้เครื่องบินพุ่งเข้าชนตึก  World Trade Center แต่อย่างใดไม่ แต่แท้จริงคือบรรดากองทุนโลก ที่โจมตีตลาดแนสแดกซ์ต่างหาก

เมื่อประเทศต่างๆและโลกไม่ตระหนักว่าต้นเหตุอะไรที่ทำให้เกิดหนี้ แล้วจะแก้ปัญหาหนี้ได้อย่างไร การแก้ปัญหาหนี้ก็ต้องแก้ที่ต้นเหตุที่ทำให้เกิดหนี้ การใช้แต่เงินในการแก้ปัญหาหนี้ เป็นเพียงการแก้ปัญหาหนี้ที่ปลายเหตุ แล้วเช่นนี้หนี้เสียจะยุติได้อย่างไร

หากตลาดหุ้นยังมีอยู่ในอเมริกา และมีในประเทศต่างๆ ภูมิภาคต่างๆในโลก ก็จะพบกับความยากจนลงตลอดเวลา เงินเฟ้อและค่าครองชีพจะสูงขึ้นตลอดเวลา  ผู้คนส่วนใหญ่ของโลกจะไม่มีความสุข และจะเดือดร้อนเพิ่มขึ้นตลอดเวลา เหมือนกับความเดือดร้อนที่เกิดจากปัญหาเงินเฟ้อ หนี้ท่วมประเทศต่างๆเวลานี้

การโจมตีรูปแบบที่ 2 หรือการโจมตีตึกแฝดกลางกรุงนิวยอร์คโดยผู้ก่อหารร้าย ก็เสียหาย แต่ไม่ร้ายแรงเท่าการโจมตีแบบที่ 1 การโจมตีรูปแบบที่ 1 หรือการโจมตีตลาดหุ้นโดยบรรดากองทุนโลก อันตรายร้ายแรงที่สุด เกิดความเสียหายมากที่สุด ส่งผลให้เกิดเงินเฟ้อหรือค่าครองชีพสูงไปทั่วโลก เดือดร้อนไปทั่วโลก เกิดการล้มละลายและเกิดหนี้กองใหญ่ ช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ประเทศสหรัฐอเมริกาต้องปรับเพดานหนี้ให้สูงขึ้นทุกปี รวมทั้งการปรับเพดานหนี้เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2011 ที่ผ่านมา ก็เป็นผลพวงมาจากการโจมตีตลาดแนสแดกซ์ระหว่างปี 1999-2000 นั่นเอง


เรื่องคล้ายกัน นำเสนอครั้งแรก วันอังคารที่ 25 พฤศจิกายน 2551 ที่ http://bit.ly/q2FjA1



หมายเหตุ : DJIA Index เป็นดัชนีราคา (Priced weighted index) เกิดในปี 1889 หรือเมื่อประมาณ 122 ปีมาแล้ว NASDAQ Index เป็นดัชนีมูลค่าตลาด (Market capitalized weighted index) เกิดเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 1971 หรือเมื่อประมาณ 40 ปีมาแล้ว

วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2554

การแก้ปัญหาเพดานหนี้ประเทศสหรัฐอเมริกา บอกว่าเงินเฟ้อโลกจะยังคงสูงขึ้นต่อไป


แท้จริงประเทศสหรัฐอเมริกาได้ความเสียหายทางเศรษฐกิจมาโดยตลอด  ประเทศสหรัฐอเมริกาเคยประสบภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งรุนแรงเมื่อปี 1929 รู้จักกันในชื่อ The Great Depression ช่วงดังกล่าวดัชนีดาวโจนส์ตกลงประมาณ 89 เปอร์เซ็นต์ ช่วงนั้นความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศต่างๆของโลก ไม่ได้มีรูปแบบที่หลากหลายเช่นทุกวันนี้ ส่วนใหญ่เป็นธุรกรรมซื้อขายของภาคการผลิตจริง ความเสียหายจึงอยู่ในวงแคบ

ไม่เหมือนทุกวันนี้ มีเรื่องของการซื้อขายกระดาษ คือการซื้อขายของในตลาดหุ้น และตลาดสินค้าล่วงหน้าเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่กว่าตลาดซื้อขายสินค้าจริงมาก เช่นการซื้อขายทองคำล่วงหน้า (Gold Futures) มีขนาดใหญ่กว่าการซื้อทองคำที่บริโภคจริง 8-9 เท่าตัว 

ธุรกรรมการซื้อขายกระดาษ ไม่ต้องมีที่ดิน ไม่ต้องโรงงาน ไม่ต้องมีโกดังเก็บสินค้า ไม่ต้องมีคนงาน ไม่ต้องมีการขนส่ง นั่งทำธุรกรรมที่หน้าคอมพิวเตอร์ ห้องแอร์ สามารถกดคีย์บอร์ดคำสั่งซื้อขายกระดาษในรูปแบบต่างๆไปได้ทั่วโลกตลอด 24 ชั่วโมง รับจ่ายเงินก็ทำผ่านบัญชีของสถาบันการเงินของผู้ซื้อ-ผู้ขาย

การซื้อขายกระดาษ หรือซื้อขายตัวเลขในกระดาษ ให้นึกถึงการซื้อขายล๊อตเตอรี่ ซื้อขายหวยบนดินใต้ดิน ที่เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นอบายมุข ที่ไม่ได้ทำให้เกิดผลิตผลแก่ระบบ (No products added ) ไม่เหมือนปลูกข้าว ปลูกข้าวยังมีเมล็ดข้าวเกิดขึ้น  

ลองดูวิธีคิดแบบเปรียบเทียบ

วิธีคิดแบบที่ 1
สมมุติคนทั้งโลก มี 10 คน หากคนทั้ง 10 คนนี้ทำการซื้อขายกระดาษ หรือซื้อขายตัวเลขในกระดาษ ซื้อหวย เตะบอล ตีกอล์ฟ ตีเทนนิสอาชีพ แสดงหนัง เล่นละคร ประกวดความงาม แล้วจะเอาอะไรมากิน จะมีอะไรกิน ก็อดตาย ตายทั้งหมด

วิธีคิดแบบที่ 2
คนทั้งโลก มี 10 คน หากคนทั้ง 10 คนนี้ ทำนาทำไร่ ปลูกข้าว ปลูกถั่วปลูกงา ก็ทำให้มีข้าว มีถั่ว มีงา ไว้รับประทาน ไม่อดตาย

แสดงให้เห็นว่า ธุรกรรมการซื้อขายกระดาษ คือธุรกรรมอบายมุข คือธุรกรรมที่เอารัดเอาเปรียบภาคการผลิตจริง เกิดจากความคิดแบบตะวันตก ที่ขาดความลึกซึ้ง ทำให้เกิดความเดือดร้อนไปทั้งโลก


พระพุทธเจ้าสอนไว้แล้ว “เงินทองคือของมายา แต่ข้าวปลาเป็นของจริง" ศีลข้อ 10 ก็บอกไว้ “ให้เว้นจากการรับทองและเงิน” พิจารณาตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ทำให้ทราบถึงจุดอ่อนของระบบเศรษฐกิจทุนนิยมอยู่ตรงไหน และระบอบเศรษฐกิจวิถีพุทธเป็นระบบอบที่ดีที่สุดในโลก

อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค คือปัจจัยสี่ เป็นสิ่งจำเป็นของชีวิต อาชีพที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยสี่ เป็นอาชีพที่ไม่เอารัดเอาเปรียบระบบ

กิเลส ทำให้คนทั่วโลกไปเอาตามอย่างตะวันตก อยากร่ำอยากรวย เอารัดเอาเปรียบส่วนอื่น ทุกวันนี้ตะวันตกยากจนหนัก หนี้ท่วมประเทศ ไม่ว่าอเมริกาหรือยุโรป ที่ไม่รู้จักว่า อบายมุขคืออะไร 

ได้มีการสร้างอาชีพที่ไม่ทำให้เกิดผลผลิตมากขึ้นอีก ได้แก่กีฬาอาชีพต่างๆ ฟุตบอลอาชีพ เทนนิสอาชีพ กอล์ฟอาชีพ การแสดงอาชีพ ประกวดความงาม ซีเลบริตี้ การโฆษณาสุดลิ่ม ฯลฯ ค่าตัวและรายได้เป็นร้อย เป็นพันล้าน ได้ยืดกัน ดูไทเกอร์ วูดส์ ยืดขนาดไหน มอมเมา อดหลับนอนกันตี 3 ตี 4 เพื่อดูบอล

“วันหนึ่งๆมีบอล ตามมุมต่างๆของโลก ถ่ายทอดผ่านเคเบิลทีวี ดูได้กันทั่วโลก เตะกันหลายสิบคู่ ไม่มีเมล็ดข้าวเกิดขึ้นแม้แต่เมล็ดเดียว” เป็นธุรกรรมขายความบันเทิง พระพุทธเจ้าก็สอนเรื่องการบันเทิงไว้ไว้เช่นกัน ศีลข้อ 7 เว้นจากฟ้อนรำขับร้อง ฯลฯ ศีลข้อ 8 เว้นจากการทัดดอกไม้ ฯลฯ เรื่องเหล่านี้ประยุกต์บอกว่า อาชีพเอ็นเตอร์เทนขายบันเทิงที่กล่าวข้างต้น เป็นอบายมุข นำพาความเสื่อมมาสู่โลก

อีกวลีหนึ่งที่โบราณว่าไว้ “สุรา นารี (เที่ยวกลางคืน รวมดู การละเล่น โขน หนัง ละคร) พาชี (การพนัน) กีฬาบัตร (การพนัน)“ เป็นอบาย เรื่องเช่นนี้ตะวันตกไม่รู้จัก ที่อังกฤษมีการ พนันที่ถูกต้องตามกฎหมายหลายรูปแบบ การถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ได้หมายความว่าถูกต้องทางศีลธรรม

ตลาดอนุพันธ์ (Futures) อิงแอบเอา ตัวเลขดัชนี ตัวเลขราคาสิ่งของ ตัวเลขราคาหุ้นมาซื้อขายกัน ใช้เงินค้ำประกัน 10 บาท ซื้อขายตัวเลขได้ 100 บาท นั่นคือซื้อขายกัน 10 บาท แต่ได้เสียกันเป็น 100 บาท


ตลาดหุ้น อบายมุขกองโตที่สุดในโลก

มีการสวมรอยปั่นให้ราคาสูง-ต่ำผิดจริงได้มาก ทำให้สภาพคล่องของระบบผันผวนมาก

บางครั้งก็ท่วมระบบ (ทำให้กิจการขยายตัวมาก)

บางครั้งก็เหือดแห้งไปจากระบบ (ทำให้กิจการล้มลงและล้มละลาย) หรือภาคการผลิตจริง (Real Trade) ล้มละลาย

ภาคการซื้อขายกระดาษ (Paper Trade) นักลงทุนท้องถิ่นล้มละลาย แต่ Hedge Fund มั่งคั่ง ส่งผลให้เงินท่วมโลก ทุกวันนี้สินทรัพย์ของทั่วโลกตกเป็นของ Hedge Fund แทบหมดแล้ว เงินที่อยู่ตามธนาคารกลางของประเทศต่างๆ เป็นเงินของบรรดา Hedge Fund เขาจะนำมาเพิ่ม หรือเขาจะย้ายออกไปประเทศไหน เมื่อใด ก็ได้

เงินท่วมโลกแต่โลกยากจนลง http://t.co/6MDDTNB อนาคต หากรูปการยังเป็นไปในรูปแบบนี้ คนฝากเงิน จะต้องจ่ายค่าฝากเงินให้กับธนาคาร ไม่ใช้ได้ดอกเบี้ยจากธนาคาร



ปี 2000-2002 ตลาดแนสแดกซ์ตกลงแรง 78 เปอร์เซ็นต์ ส่งผลให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐตกลงตามตลาดหุ้น (ดูกราฟ)

ทำให้มีการขายหุ้น ขายสินทรัพย์ในอเมริกา ขนเงินมาลงทุนนอกอเมริกา ทำให้ทุนสำรองประเทศต่างๆสูงขึ้น โดยเฉพาะทุนสำรองของประเทศจีน พุ่งขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ของโลก เวลาเดียวกัน ทุนสำรองของประเทศไทยก็พุ่งสูงขึ้น จนสามารถนำไปใช้หนี้ไอเอ็มเอฟหมดก่อนกำหนดในเดือนกรกฎาคม 2003 ที่อดีตนายกทักษิณแอบอ้างว่าเป็นฝีมือของเขา


การพังทลายของตลาดแนสแดกซ์ในปี 2000 กว่าจะเห็นว่าสภาพคล่องเสียหายจริงจัง ก็เมื่อเวลาผ่านไปแล้ว 4-5 ปี หรือปี 2004 – 2005 คล้ายที่ตลาดหุ้นของประเทศไทยพังทลายในปี 2537 ถึงปี 2540 จึงพบว่าสภาพคล่องเสียหายหนัก ต้องเข้าโครงการไอเอ็มเอฟ

หนี้มากมายเกิดจากอะไร? เมื่อแนวโน้มดอลลาร์เสียหาย คนไม่ถือดอลลาร์ เงินไหลออกจากอเมริกา ทำให้สภาพคล่องของประเทศอเมริกาเสียหาย ส่งผลให้ภาคการเงินและภาคการผลิตจริงเสียหาย เห็นได้จากกรณี Subprime และการล้มลงของ  Enron  WorldCom Bear Stern Fannie Mae Freddie Mac Lehman Brothers  Merrill Lynch  AIG ฯลฯ รัฐบาลอเมริกันต้องเข้าไปอุ้ม ทำให้หนี้สาธารณะสูงขึ้น

อเมริกาแก้ปัญหาการขาดสภาพคล่องด้วยการตั้ง CDOs (Collateralized debt obligations) และ CDS (A credit default swap) หมายถึงให้สถาบันการเงินกู้เงิน และให้มีการค้ำประกันเงินกู้ มาใช้ในธุรกรรมตลาดเงิน ส่งผลให้การล้มละลายต่างๆดังกล่าวสูงกว่าปกติมาก

4 ปีที่ผ่านมา หนี้เพิ่มขึ้นทุกปี
ปี 2007 ระดับหนี้อยู่ที่ 7.38 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
ปี 2008 ระดับหนี้อยู่ที่ 11.32 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
ปี 2009 ระดับหนี้อยู่ที่ 12.39 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
ปี 2010 ระดับหนี้อยู่ที่ 14.29 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ

ช่วงระยะเวลา 4 ปี ปี 2007 – 2010 เพดานหนี้เพิ่มจาก 7.38 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ มาเป็น 14.29 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือเพิ่มเกือบเท่าตัว (94 เปอร์เซ็นต์)


นักวิเคราะห์ส่วนหนึ่งบอกว่า หนี้ของอมริกาเกิดจากการมีค่าใช้จ่ายสูงกว่ารายรับ เช่นโครงการประชานิยม โครงการประกันสังคม โครงการประกันสุขภาพ โครงการอวกาศ และการทำสงครามทางทหาร ก็มีส่วน แต่ค่าใช้จ่ายเหล่านั้น น้อยกว่าค่าใช้จ่ายของรัฐบาลอเมริกันที่ใช้อุ้มสถาบันการเงินที่ล้มจากวิกฤตเศรษฐกิจ ที่เป็นผลมาจากการพังทลายของตลาดแนสแดกซ์ในปี 2000

หลายประเทศ รวมทั้งยุโรปเช่น กรีก อิตาลี ปอร์ตุเกส ฮังการี ไอซ์แลนด์ ไอร์แลนด์ ยูเครน ปากีสถาน ฯลฯ ประเทศเหล่านี้ไม่มีสงคราม แต่ก็เกิดหนี้ท่วมประเทศเช่นกัน จนต้องพึงพากองทุนการเงินระหว่างประเทศและประชาคมยุโรป



วันที่ 2 สิงหาคม 2554 ถึงกำหนดชำระหนี้ แต่รัฐบาลอเมริกาไม่มีเงิน ทำเนียบขาวจึงต้องหาทางออกกฎหมายเพิ่มเพดานหนี้  ขอพึ่งกฎหมาย เพื่อให้สามารถกู้เงินมาชำระหนี้เพิ่ม

ตามรายละเอียดข้อตกลงของทำเนียบขาว และวุฒิสมาชิก (วันที่ 31 กรกฎาคม 2554) เพิ่มเพดานหนี้อย่างน้อย 2.1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ให้ชะลอการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่าย 2-3 ล้านล้านเหรียญในช่วง 10 ปีข้างหน้า ยอมให้มีการกู้ยืมเงินให้เพียงพอถึงปี 2013 งบประมาณ 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐจะต้องถูกตัดลงโดยทันที งบประมาณของกองทัพลดลงอย่างน้อย 350,000 ล้านดอลลาร์ภายใน 10 ปีข้างหน้า การตัดลดงบประมาณ ยังคงในความดูแลของคณะกรรมการทั้ง 2 ฝ่าย

นั่นคือเพดานหนี้ปี 2011-2013 จะขึ้นมาเป็น 16.39 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งไม่แน่ว่า ตามความเป็นจริงแล้ว ตัวเลขดังกล่าวจะเป็นตัวเลขที่ถูกต้องแล้ว หรือพอดีแล้ว



ความเสียหายของค่าเงินเหรียญสหรัฐ ที่เป็นผลมาจากการพังทลายของตลาดหุ้นแนสแดกซ์เมื่อปี 2000 หมายความค่าเงินเหรียญสหรัฐมีค่าเล็กลง นั่นคือ การซื้อสินค้าและบริการต่างๆด้วยปริมาณเท่าเดิม จะต้องใช้เงินเหรียญสหรัฐมากขึ้น จึงทำให้เห็นว่าสินค้าและบริการนั้นราคาสูงขึ้น

จะเห็นว่าราคาทองคำและน้ำมัน มีราคาสูงขึ้น ราคาทองคำ และราคาน้ำมันเริ่มขึ้นหลังปี 2000 (หลังการพังทลายของเงินเหรียญสหรัฐ) ราคาทองคำยังขึ้นต่อเนื่องถึงปี 2011 ซึ่งขึ้นมา 525 เปอร์เซ็นต์แล้ว ส่วนราคาน้ำมันขึ้นมาถึงกลางปี 2008 ขึ้นมา 683 เปอร์เซ็นต์ แล้วก็ปรับตัวลงรวดเร็วถึงต้นปี 2009 และตอนนี้ราคาได้เริ่มไต่ระดับขึ้นมาใหม่แล้ว  

ราคาพลังงานโลกสูงขึ้น เป็นที่มาของเงินเฟ้อโลกสูงขึ้น 


การพังทลายของแนสแดกซ์และค่าเงินเหรียญสหรัฐ คือต้นเหตุเงินเฟ้อโลกสูงขึ้น


เงินเฟ้อโลกเริ่มสูงขึ้นตั้งแต่ปี 2000

แต่ปัญหาหนี้ของอเมริกา ที่เก็บเงียบไว้นาน ก็โผล่ให้ขึ้นมาให้เห็นว่าเป็นปัญหา วันที่ 2 สิงหาคม 2554 เป็นกำหนดเส้นตาย ว่าการแก้ไขปัญหาจะออกมาในรูปใด ซึ่งสรุปผลไว้แล้วในช่วงกลางของบทความนี้ 

ขนาดเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก เงินเหรียญสหรัฐเป็นเงินที่มีส่วนแบ่งสูงสุดในโลก กล่าวได้ว่าเงินเหรียญสหรัฐ เป็นสกุลเงินของโลกได้

ดูวิธีการแก้ปัญหาแล้ว เห็นเป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ

ตลาดหุ้นคือต้นเหตุที่ทำให้เศรษฐกิจอเมริกาเกิดวิกฤตรุนแรงมา 2 ครั้งแล้ว และทำเศรษฐกิจ-สังคม-การเมืองของอเมริกาเสียหายต่อเนื่องตลอด 82 ปีที่ผ่านมา ทำให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐเสียหาย ทำเงินเฟ้อของอเมริกาและของโลกสูงขึ้น

ความเสียหายทางเศรษฐกิจของอเมริกา ยุโรป และประเทศต่างๆ มีต้นเหตุมาจากเรื่องเดียวกัน มีความสัมพันธ์ต่อกันอย่างมีนัยสำคัญ

ตลาดหุ้นคืออบายมุขกองโตที่สุดในโลก คือสิ่งผิดปกติในระบบเศรษฐกิจ ก่อความเดือดร้อนไปทั่วโลก ทำให้เศรษฐกิจของโลกเสียหายตลอดเวลา

ให้โลกมีตลาดเงินตลาดเดียวก็พอแล้ว

เมื่อโลกไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุของปัญหา ปัญหาก็ยังคงอยู่ ประชาชนโลกจะพบกับความเดือดร้อนที่รุนแรงขึ้น เดือดร้อนจากเงินเฟ้อ หรือค่าครองชีพที่สูงขึ้น ต่อเนื่อง อย่างเหลือเชื่อ

..

วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

แนะนำ suthipong2-indexthai

suthipong2-indexthai

ตามวันเดือนปีและเวลาในประเทศไทย

เริ่มต้นบล๊อกวันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม 2554 เวลาประมาณ 10.00 น. +

ไม่ได้ตั้งใจ แต่เชื่อเป็นเวลาดี
ขอเสนอตัว ขอฝากตัว ทุกท่าน
ช่วยดูแลด้วยนะครับ
ขอขอบคุณ